การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความสุขในการทำงานกับประสิทธิภาพในการทำงานของบุคลากรในภาคอุตสาหกรรม
เนื้อหาบทความหลัก
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์1.เพื่อศึกษาความสุขในการทำงานของบุคลากรในงานอุตสาหกรรม 2.เพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการทำงานของบุคลากรในงานอุตสาหกรรม 3.เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความสุขในการทำงานกับประสิทธิภาพในการทำงานของบุคลากรในงานอุตสาหกรรมโดยประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรในงานอุตสาหกรรม ในเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน ใช้การสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบง่าย ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย มี 3 ส่วน คือ ปัจจัยส่วนบุคคล ด้านความสุขในการทำงาน และด้านประสิทธิภาพในการทำงาน ซึ่งผ่านการหาค่าความสอดคล้องเชิงเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว และแบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .819 โดยใช้สถิติในการศึกษาได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างตัวแปร 2 ตัว (Independent-Samples t-test) การเปรียบเทียบ ความแตกต่างระหว่างตัวแปรมากกว่า 2 ตัว ด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทาง เดียว(One-way Analysis of Variance: One-way Anova) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson Correlation)
ผลการวิจัย ด้านปัจจัยส่วนบุคคลพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 50.4 มีอายุช่วง 26-30 ปี ร้อยละ 42.1 การศึกษาระดับปริญญาตรี ร้อยละ 37.6 อายุการทำงาน 3 ปีขึ้นไป ร้อยละ 37.1 มีรายต่อเดือน 15,001 – 20,000 บาท ร้อยละ 48.6 ตำแหน่งงาน ระดับปฏิบัติการ ร้อยละ 76.9 ด้านความสุขในการทำงานพบว่าในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (4.27) และด้านประสิทธิภาพในการทำงานในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (4.38) ผลการทดสอบสมมติฐานที่ 1 พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลด้านเพศ อายุ และ การศึกษา แตกต่างกันมีประสิทธิภาพในการทำงานแตกต่างกัน และด้านอายุการทำงาน รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และตำแหน่งงานแตกต่างกันมีประสิทธิภาพในการทำงานไม่แตกต่างกัน สมมติฐานที่ 2 ความสุขในการทำงานมีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพในการทำงาน พบว่า มีความสัมพันธ์กันระดับปานกลาง (0.671**) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01